Lev Vygotsky
Lev Vygotsky เป็นนักจิตวิทยาชาวรัสเซียผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากทฤษฎีทางสังคมวัฒนธรรมของเขา เขาเชื่อว่าปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง การเลียนแบบ การเรียนรู้แบบมีคำแนะนำ และการเรียนรู้แบบร่วมมือมีความโดดเด่นในทฤษฎีของเขา
ชีวิตในวัยเด็กของ Lev Vygotsky
Lev Vygotsky เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2439 ในเมือง Orsha เมืองแห่งหนึ่งในจักรวรรดิรัสเซียตะวันตก ในปี ค.ศ. 1917 เขาได้รับปริญญาทางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐมอสโก ซึ่งเขาได้ศึกษาหัวข้อต่างๆ มากมาย เช่น สังคมวิทยา ภาษาศาสตร์ จิตวิทยา และปรัชญา งานด้านจิตวิทยาอย่างเป็นทางการของเขาเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2467 ที่สถาบันจิตวิทยาแห่งมอสโก เขาจบวิทยานิพนธ์ในปี พ.ศ. 2468 ในด้านจิตวิทยาศิลปะ Lev Vygotsky เป็นนักจิตวิทยาการพัฒนาที่ฉลาดหลักแหลมที่รู้จักกันในการพัฒนาทฤษฎีสำคัญหลายประการเขาเห็นว่าเด็ก ๆ ต้องการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้คนในกลุ่มอายุที่แตกต่างกันเพื่อพัฒนาการด้านจิตวิทยาของพวกเขา เขาเน้นว่าการโต้ตอบระหว่างเด็กกับผู้ปกครองและครูมีความสำคัญเนื่องจากเด็กเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไปและต่อเนื่องจากสิ่งที่พวกเขาโต้ตอบด้วย อย่างไรก็ตามทฤษฎีของเขาได้พบกับความสงสัยมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่เขาได้รับปริญญาจากการขาดเรียนเนื่องจากวัณโรคเฉียบพลันที่กำเริบซึ่งทำให้เขาไร้ความสามารถเป็นเวลาหนึ่งปี หลังจากเจ็บป่วย Vygotsky เริ่มค้นคว้าหัวข้อต่างๆ เช่น ภาษา ความสนใจ และความทรงจำด้วยความช่วยเหลือจากนักเรียนของเขา ในบรรดาคนเหล่านี้ ได้แก่ Alexei Leontiev นักจิตวิทยาพัฒนาการและนักปรัชญาที่พัฒนาทฤษฎีกิจกรรม และนักประสาทวิทยา Alexander Luria ผู้เขียน "Higher Cortical Functions in Man " แต่ความคิดของ Vygotsky ไม่เคยเป็นที่รู้จักกันดีจนกระทั่งนานหลังจากที่เขาเสียชีวิต ในขณะที่ความคิดของพวกเขามีความคล้ายคลึงกันบางอย่างมีความแตกต่างบาง ชีวิตของ Vygotsky ถูกตัดสั้นลงอย่างน่าเศร้าเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 1934 เมื่อเขาเสียชีวิตด้วยวัณโรคเมื่ออายุ 37 ปี หลังจากที่เขาเสียชีวิตทฤษฎีส่วนใหญ่ของเขาจึงไม่ได้รับการพัฒนา จนกลายเป็นรากฐานของการวิจัยและทฤษฎีมากมายในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ พ.ศ. 2439-2477
การมอบความช่วยเหลือให้เด็กๆในระดับที่เหมาะสมและในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะนั้นเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในฐานะผู้ปกครองคุณพ่อคุณแม่ควรรู้แนวทางในการสนับสนุนพัฒนาการของลูกน้อยว่าจะทำอย่างไรและทำเมื่อไหร่ดี
ทฤษฎีวัฒนธรรมเชิงสังคมของไวกอตสกี้
ไวก็อตสกี้แบ่งระดับเชาว์ปัญญาออกเป็น 2 ขั้น คือ
2.1 ภาษาที่ใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เรียกว่า ภาษาสังคม (social speech) เป็นภาษาที่เด็กใช้ ในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น ในช่วงอายุ 0 - 3 ปี เพื่อสื่อสารความคิดความรู้สึกต่างๆที่ตนนั้นกำลังนึกคิดและต้องการที่จะแสดง ความต้องการอารมณ์ ความรู้สึกของตนเองกับผู้อื่น
2.2 ภาษาที่พูดกับตนเอง 3 – 7 ขวบ (egocentric speech) เป็นภาษาที่เด็กใช้พูดกับตนเองในช่วงอายุ 3 -7 ปี โดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น เพื่อช่วยในการคิด ตัดสินใจแสดงพฤติกรรม
พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ หรือ (Zone of Proximal Development)
การพัฒนานี้มักจะเกิดขึ้นใน“พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ” หรือ (Zone of Proximal Development) โดยความสามารถลำดับแรกของมนุษย์ คือสิ่งที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเองลำดับที่สองจึงเป็น “พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ”ซึ่งรวมสิ่งที่เราสามารถทำได้ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ เพื่อน เทคโนโลยีหรือสิ่งที่ไวกอตสกี้เรียกว่า ‘ผู้ที่รู้มากกว่า’ นั่นเองลำดับสุดท้ายก็คือสิ่งที่เรายังไม่มีความสามารถหรือพัฒนาการที่ทำได้ในตอนนี้
ไวก็อตสกี้ได้ให้คำนิยามพื้นที่รอยต่อพัฒนาการนี้ว่า “ระยะห่างระหว่างระดับพัฒนาการที่แท้จริงซึ่งกำหนดโดยลักษณะการแก้ปัญหาของแต่ละบุคคลกับระดับของศักยภาพแห่งพัฒนาการที่กำหนดโดยผ่านการแก้ปัญหาภายใต้คำแนะนำของผู้ใหญ่ หรือในการร่วมมือช่วยเหลือกับเพื่อนที่มีความสามารถเหนือกว่า“และได้กล่าวสนับสนุนอีกว่า“พื้นที่รอยต่อพัฒนาการในวันนี้จะเป็นระดับของพัฒนาการในวันพรุ่งนี้อะไรก็ตามที่เด็กสามารถทำได้โดยอยู่ภายใต้ความช่วยเหลือในวันนี้วันพรุ่งนี้เขาจะสามารถทำได้ด้วยตัวของเขาเอง เพียงได้รับการเรียนรู้ที่ดีก็จะนำมาซึ่งพัฒนาการที่เจริญขึ้น”
เช่น ถ้าจะให้นึกภาพ ลองมานึกถึงฝาแฝดชายหญิงสองคนที่ถูกเลี้ยงดูในสังคมที่คาดหวังว่าผู้ชายมีหน้าที่เรียนเพื่อที่จะได้ประสบความสำเร็จส่วนผู้หญิงก็ถูกคาดหวังให้ทำตัวสวยงามเพียงเท่านั้น เมื่อตอนฝาแฝดคู่นี้อายุ 10 เดือน ทั้งสองถือว่าอยู่ในช่วงวัย “พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ”ที่จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ในการหัดยืนด้วยตัวเอง ‘ผู้ที่รู้มากกว่า’ ในที่นี้ก็คือคุณพ่อ ที่จัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์สำหรับการฝึกซ้อมให้เด็กผู้ชาย เด็กชายได้รับการสนับสนุนให้สำรวจอุปกรณ์การช่วยเหลืออย่างเต็มที่และในที่สุดก็สามารถคว้าและยืนด้วยตัวเองได้แล้วในไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเด็กชายก็สามารถเดินเกาะไปตามทางได้และสามารถยืนได้ด้วยตัวเองในเวลาเพียงไม่กี่วัน ในขณะที่แฝดผู้หญิงถึงแม้จะมีศักยภาพที่จะยืนได้เช่นกัน แต่กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือ
หลักการเดียวกันนี้สามารถนำมาใช้กับการเรียนรู้และการพัฒนาความรู้ความเข้าใจที่สูงขึ้นได้และการที่จะเข้าถึงศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่นั้นต้องเป็นการได้เรียนรู้ฝึกฝนจากผู้ฝึกสอนที่เชี่ยวชาญ เพราะเหตุนี้ไวกอตสกี้จึงเชื่อว่าในพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ การเรียนรู้สามารถนำหน้าพัฒนาการได้ หมายความว่าเด็กๆ สามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ที่อยู่เหนือกว่าวุฒิภาวะตามธรรมชาติของตนเองได้
การเรียนรู้นำไปสู่พัฒนาการ สนับสนุนพัฒนาการ หรือผลักดันให้พัฒนาการเป็นไปในระดับที่สูงขึ้นเป็นการขยายระดับพัฒนาการออกไปอย่างไม่มีขีดจำกัด โดยเกิดจากการเรียนรู้มโนทัศน์ 2ประเภท คือ มโนทัศน์โดยธรรมชาติ (Spontaneous or Everyday Concepts) และ มโนทัศน์ที่เป็นระบบ (Scientific or Schooled Concepts)
มโนทัศน์โดยธรรมชาติ (Spontaneous or Everyday Concepts) เกิดจากการสังเกตหรือจากการรับความรู้สึกทางประสาทสัมผัสอันเป็นประสบการณ์ที่เราสร้างขึ้นมาด้วยตนเองจากเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันทั่วๆ ไปและได้ถูกนำมาใช้ในลักษณะที่เราแทบไม่รู้ตัว
มโนทัศน์ทั้ง 2 ประเภทนี้ทำงานประสานกันมโนทัศน์ในชีวิตประจำวันมีความจำเป็นสำหรับเด็กที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้เพื่อให้ได้มาซึ่งมโนทัศน์ที่เป็นระบบ การพัฒนาจากความรู้ความเข้าใจจากมโนทัศน์โดยธรรมชาติไปสู่มโนทัศน์ที่เป็นระบบจะต้องอาศัยสื่อกลางดังนี้
1.ภาษา (Language)
2.ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม(Social Interaction)
3. วัฒนธรรม (Culture)
4. การเลียนแบบ (Imitation)
5. การชี้แนะหรือการช่วยเหลือ (Guidance or Assistance)
สรุป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น